วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

บทที่ 5 ความรู้เพิ่มเติม การหาประสิธิภาพแบบแยกส่วน

ในการวิเคราะห์สมรรถนะของเครื่องปรับอากาศแบบหน่วยเดียว รายการเครื่องมือวัดที่จำเป็น

        ได้แก่ Power Meter หรือ kW Meter, Thermometer (เครื่องมือวัดอุณหภูมิ), Anemometer (เครื่องมือวัดความเร็ว
อากาศ), Hygrometer (เครื่องมือวัดความชื้นสัมพัทธ์) และPsychometric Chart (แผนภูมิอากาศ) โดยมีแนว
ทางการเก็บข้อมูล มีดังนี้
1 บันทึกค่าความเร็วลมผ่านหน้าตัดของช่องลมกลับ ในหน่วย m/s โดยควรวัดหลาย ๆ จุดให้ทั่วทั้งหน้าตัดแล้วหาเป็นค่าเฉลี่ย
2 วัดขนาดพื้นที่หน้าตัดของช่องลมกลับ แล้วนำไปคูณกับค่าความเร็วลมเฉลี่ยเพื่อหาปริมาณลมหมุนเวียนผ่านคอยล์เย็นได้
3 บันทึกค่าอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ของลมจ่าย (Supply Air) เพื่อนำไปหาค่าเอนทาลปีของลมจ่าย (he) จากแผนภูมิ Psychometric
4 บันทึกค่าอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ของลมกลับ (Return Air) เพื่อนำไปหาค่าเอนทาลปีของลมกลับ (hi) จากแผนภูมิ Psychometric
5 บันทึกค่าการใช้กำลังไฟฟ้าของพัดลมเป็น kW ด้วย Power Meter


เครื่องวัดความเร็วลม(Anemometer)

เครื่องวัดอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศ (Hygrometer)

ไซโครเมตริกชาร์ท(Psychometricchart )

ตารางค่าเอนธาลปีของอากาศ

หาปริมาณลมเย็นหมุนเวียนผ่านเครื่องปรับอากาศโดยใช้เครื่องมือวัดความเร็วลม

หาอุณหภูมิ(C) และความชื้นสัมพัทธ์ (%RH) ของอากาศทางด้านลมส่ง

หาอุณหภูมิ(C) และความชื้นสัมพัทธ์ (%RH) ของอากาศทางด้านลมกลับ
สมรรถนะการทำความเย็นประสิทธิภาพของระบบปรับอากาศแสดงในรูปของค่าสมรรถนะการทำความเย็น (Coefficient of Performance, COP) ซึ่งนิยามด้วย อัตราส่วนของพลังงานความร้อนที่ถูกดูดซับโดยคอยล์เย็น (ปริมาณความเย็นที่ทำได้) ต่อพลังงานไฟฟ้าที่ระบบใช้

Cop=QL/Ecomp

QL = อัตราการทำความเย็น, kW
Ecomp = ความต้องการไฟฟ้าของเครื่องปรับอากาศ, kW

        ค่า COP สูงแสดงถึงประสิทธิภาพที่ดีของระบบปรับอากาศ สำหรับค่า COP ที่พิจารณาเฉพาะพลังงาน
ที่ใช้ในคอมเพรสเซอร์ เป็นเพียงค่าที่แสดงประสิทธิภาพของการทำความเย็นเท่านั้น ส่วนค่าสมรรถนะของทั้ง
ระบบ (System COP, SCOP) จะต้องรวมพลังงานที่จ่ายให้กับพัดลมและเครื่องสูบน้ำด้วย ค่า SCOP สูงหมายถึงระบบปรับอากาศที่ใช้พลังงานน้อย
ในทางปฏิบัติสมรรถนะของระบบปรับอากาศยังสามารถแสดงได้ในรูปของ ค่าอัตราส่วนประสิทธิภาพพลังงาน (Energy Efficiency Ratio, EER) และค่ากิโลวัตต์ต่อตันความเย็น (kW/TR) โดยค่า EERซึ่งมีหน่วยเป็น บีทียูต่อชั่วโมง/วัตต์ นิยมใช้แสดงค่าประสิทธิภาพการทำความเย็นของเครื่องชนิดไดเร็คเอ็กส์แพนชั่นหรือเครื่องปรับอากาศขนาดเล็ก ส่วนค่ากิโลวัตต์ต่อตันความเย็น นิยมใช้แสดงค่าประสิทธิภาพการทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ เช่น ระบบน้ำเย็น

EER = 3.415COP

เมื่อ COP = สมรรถนะการทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศ

ตัวอย่างที่ 1 ในการตรวจวัดเครื่องปรับอากาศแบบ Split type เครื่องหนึ่ง บันทึกค่าความเร็วลมกลับเฉลี่ยบริเวณช่องลมกลับได้เท่ากับ 0.5 m/s วัดขนาดของช่องลมกลับได้พื้นที่เท่ากับ 0.9 m2 ค่าอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ของลมจ่ายเท่ากับ 15.8C และ 78.7%RH สำหรับลมกลับวัดได้ 25.1C และ 58.2%RH ค่าการใช้ไฟของเครื่องปรับอากาศวัดได้เท่ากับ 2.4 kW คำนวณหาขนาดการทำความเย็นและสมรรถนะของเครื่องปรับอากาศ
วิธีการคำนวณ
       จากข้อมูลของลมจ่ายและลมกลับ นำไปพล็อตในแผนภูมิอากาศ จะได้ค่าเอนทัลปีของลมจ่ายเท่ากับ38.1 kJ/kg ส่วนของลมกลับเท่ากับ 54.8 kJ/kgปริมาณลมหมุนเวียนผ่านคอยล์เย็นคิดเป็น 0.5*60*0.9 = 27.0 ลบ.ม./นาที
ขนาดทำความเย็นของเครื่องส่งลมเย็นตัวนี้จะเท่ากับ

QL = 5.707 ×10-3 x Vax (hi-he)

QL = 5.707 x 10-3 x 27.0 x (54.8 – 38.1) = 2.6 TR

หรือ 2.6 x 12000 = 30,879 Btu/h
หรือ 30,879 x 0.2928 / 1000 = 9.05 kW (1 Btu/h = 0.2928 W)
       ประสิทธิภาพของเครื่องปรับอากาศ
EER = EER = บีทียู/ชั่วโมง ÷กำลังไฟฟ้า(วัตต์)=(30,879)/(2.4 x 1000) = 12.9
COP =EER / 3.142 = 12.9/ 3.142=3.77

บทที่ 4 การติดตั้งและการบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศ

       การติดตั้งเครื่องปรับอากาศ

        ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะเครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วน(Split Type) ที่ใช้ตามบ้านทั่วๆไปก่อนดังนี้
 การเลือกตำแหน่งติดตั้งเครื่องปรับอากาศ

       ตำแหน่งคอนเด็นซิ่งยูนิต ( CDU ) ที่เหมาะสม

1. บริเวณที่ติดตั้งเครื่องต้องแข็งแรงสามารถรับน้ำหนักและแรงสั่นสะเทือนจากการทำงานได้
2.ในกรณีที่คอนเด็นซิ่งตั้งวางบนพื้นดินต้องทำฐานรองรับเครื่องด้วยคอนกรีต
3. ติดตั้งในบริเวณที่อากาศถ่ายเทได้สะดวกและห่างจากมุมอับ
4. บริเวณที่ติดตั้งต้องมีการระบายน้ำได้ดีหรือที่ที่น้ำท่วมไม่ถึง
5. การวางคอนด็นซิ่งยูนิตควรมีลูกยางรองเพื่อลดแรงสั่นสะเทือนจากการทำงานของตัวเครื่อง
6. ควรวาง CDU ให้ห่างจากพื้นที่ใช้สอยทั่วไปเพื่อหลีกเลี่ยงจากปัญหาเรื่องเสียงรบกวน
7. อย่าตั้งเครื่องชิดกับคอนเด็นซิ่งยูนิตอื่นหรือผนังเพราะทำให้ระบายความร้อนยาก
8. หลีกเลี่ยงการติดตั้งในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี เช่น มีความเป็นกรดสูง,แสงแดดแรงหรือมีน้ำหยด
9. ควรวาง CDU ในบริเวณที่สามารถเข้าไปตรวจซ่อมภายหลังได้อย่างสะดวก

       ตำแหน่งแฟนคอยล์ยูนิต ( FCU) ที่เหมาะสม

1. ตั้งในบริเวณที่สามารถกระจายลมได้ทั่วทั้งห้องอย่าติดตั้งเครื่องในมุมอับ
2. อย่าให้สิ่งของกีดขวางทางไหลของอากาศเพราะจะทำให้อากาศหมุนเวียนไม่สะดวก
3. บริเวณที่ติดตั้งเครื่องต้องแข็งแรงสามารถรับน้ำหนักและแรงสั่นสะเทือนจากการทำงานได้
4. หลีกเลี่ยงการวาง FCU ใกล้กับประตู, หน้าต่างหรือพัดลมดูดอากาศ
5. ควรวาง FCU ในบริเวณที่สามารถตรวจซ่อมภายหลังได้อย่างสะดวก
6. อย่าตั้งชิดผนังที่โดนแดดจัดเพราะจะทำให้ได้รับความร้อนจากภายนอกได้ง่าย
7. พยายามติดตั้งแฟนคอยล์ยูนิตให้อยู่ใกล้กับคอนเด็นซิ่งยูนิตจะทำให้ประสิทธิภาพสูงสุด

       การติดตั้งท่อน้ำยา

        ระบบท่อน้ำยานับว่าเป็นส่วนที่มีความสำคัญมากที่สุดในการติดตั้งเครื่องปรับอากาศแบบแยก ส่วนการเลือกใช้ขนาดท่อที่มีขนาดเล็กเกินไปจะมีผลทำให้เกิดปัญหาตามมาเช่น ทำให้ประสิทธิ ภาพของเครื่องต่ำลงหรือความดันตกคร่อม (Pressure Drop) ระหว่างท่อมากเกินไป เป็นต้น ดังนั้นในการเลือก ใช้ขนาดท่อน้ำยาต้องคำนึงถึง


1. PIPE DIAMETER ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของท่อน้ำยา

2. PIPE LENGTH ความยาวท่อน้ำยา

3. NUMBER OF FITTINGS จำนวนของข้อต่อต่างๆ เช่น ข้องอ

4. FLUID VELOCITY ความเร็วในการเคลื่อนที่ของสารทำความเย็น

       การเลือกใช้ท่อน้ำยาควรเลือกตามคู่มือติดตั้งเครื่องปรับอากาศนั้นๆ แต่ถ้าไม่ทราบก็สามารถหา ขนาดคร่าวๆได้จากแผนผังคำนวณขนาดท่อน้ำยาซึ่งโดยทั่วไปกำหนดความดันตกคร่อมด้านดูด (Suction Line Pressure Drop) 2 PSI/100 FT และความดันตกคร่อมด้านส่ง (Discharge Line PressureDrop) 4 PSI/100 FT.

        นอกจากการเลือกใช้ขนาดท่อน้ำยาที่ถูกต้องแล้ว การเดินท่อน้ำยายังต้องทำอย่างถูกหลักการอีก ด้วยจึงจะทำให้เครื่องทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ระบบท่อน้ำยาต้องทำความสะอาดให้ดีและ แห้งและในการเดินท่อน้ำยาต้องคำนึงถึงความเร็วของไอน้ำยาให้มากพอที่จะพาน้ำมันหล่อลื่น กลับคอมเพรสเซอร์ด้วย ดังนั้นในการติดตั้งคอนเด็นซิ่งและอีวาพอเรเตอร์ในระดับที่ต่างกันจะ ต้องคำนึงถึง

1. การติดตั้งอีวาพอเรเตอร์ต่ำกว่าคอนเด็นซิ่ง จะมีผลให้น้ำมันกลับเข้าคอมเพรสเซอร์น้อยเพราะ คอมเพรสเซอร์อยู่สูงกว่า ดังนั้นการเดินท่อด้านดูดต้องคำนึงถึงความดันตกคร่อมและเรื่องน้ำมัน กลับด้วย

2. การติดตั้งคอนเด็นซิ่งต่ำกว่าอีวาพอเรเตอร์ จะมีผลให้ความดันตกลงเพราะคอมเพรสเซอร์ต้อง อัดน้ำยาขึ้นที่สูง ดังนั้นการเดินท่อด้านส่งต้องคำนึงถึงความดันตกคร่อมจากความเสียดทานและ การเดินท่อในแนวดิ่ง

       การเดินท่อน้ำยาด้านดูดเมื่อตำแหน่งการวางอีวาพอเรเตอร์และคอนเด็นซิ่งอยู่ในลักษณะต่างๆ เป็นดังนี้


1. เมื่อคอนเด็นซิ่งอยู่เหนืออีวาพอเรเตอร์
ให้ทำที่กักน้ำมัน(Oil Trap) เพื่อให้แน่ใจว่า น้ำมันที่อยู่ในระบบจะไหลกับขึ้นไปยังคอม เพรสเซอร์ การทำที่กักน้ำมันควรทำให้ใกล้ อีวาพอเรเตอร์ที่สุดเท่าที่จะทำได้

2. เมื่อคอนเด็นซิ่งอยู่เหนืออีวาพอเรเตอร์ให้ทำที่กักน้ำมันทุกๆช่วงความสูง 4.5 ม. ทั้งนี้เพื่อให้เก็บกักน้ำมันเอาไว้ในขณะ ที่คอมเพรสเซอร์เริ่มทำงานอีกครั้ง น้ำมัน จากที่กักน้ำมันนี้จะถูกดูดไปหล่อลื่นคอม เพรสเซอร์ได้ทันที (ไม่ควรเดินท่อในแนวดิ่งสูงเกินกว่า 15 ม.)

       การเดินท่อน้ำยาต่อระบบทำความเย็นยาวเกิน 10 เมตร จะต้องเติมน้ำมันหล่อลื่นเพิ่มเติมเพื่อ ชดเชยผลของฟิล์มน้ำมันที่ตกค้างผิวด้านในของท่อดูด ตามอัตราตารางต่อไปนี้ต่อทุกๆความยาว 1 เมตรที่เดิน การเติมน้ำมันให้ดูจาก OIL SIGHT GLASS (ถ้ามี) โดยให้อยู่ในช่วง 1/2 ถึง 3/4 ของ OIL SIGHT GLASS

       ขนาดท่อ อัตราเติมน้ำมันต่อทุกความยาว 1 เมตร
3/8 7.5 มิลลิเมตร (ซี.ซี)
1/2 10 มิลลิเมตร (ซี.ซี)
5/8 20 มิลลิเมตร (ซี.ซี)
3/4 30 มิลลิเมตร (ซี.ซี)
7/8 40 มิลลิเมตร (ซี.ซี)
1-1/8 50 มิลลิเมตร (ซี.ซี)

        เมื่อเดินท่อน้ำยาผ่านผนัง,กำแพง ควรบุหรือห่อด้วยฉนวน ซึ่งสามารถลดการสั่นสะเทือนได้ ส่วน ท่อด้านดูดต้องหุ้มฉนวนตลอดความยาวของท่อ ฉนวนที่ใช้หุ้มท่อนี้ต้องมีความหนาอย่างน้อย 1/2 นิ้ว โดยปกติแล้วท่อด้านส่งไม่จำเป็นต้องหุ้มฉนวน ยกเว้นในกรณีที่เดินท่อผ่านบริเวณที่มี อุณหภูมิสูง เช่น ห้องหม้อน้ำหรือกลางแดดร้อนจัด ควรจะใช้ฉนวนยางที่มีความหนาอย่างน้อย 3/8 นิ้ว หุ้มห่อด้านส่งด้วย และต้องเพิ่มความหนาของฉนวนด้านดูดขึ้นเป็นพิเศษด้วยอย่างน้อย หนา 3/4 นิ้ว

       การติดตั้งท่อน้ำทิ้ง

ท่อน้ำทิ้งจัดว่าเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่ง ถ้าติดตั้งไม่ดีอาจมีผลให้น้ำไม่สามารถระบายออกและขัง อยู่ในตัวเครื่องจนล้นออกมาภายนอกสร้างความเสียหายให้บริเวณรอบๆเครื่องได้ ท่อน้ำทิ้งโดย มากจะใช้ท่อ S-LON หรือท่อ PVC โดยต่อออกจากตัวเครื่องอีวาพอเรเตอร์ ท่อน้ำทิ้งควรจะหุ้ม ฉนวนตรงบริเวณที่อาจจะเกิดมีการ condensate โดยเฉพาะถ้าเดินท่ออยู่ในฝ้าเพดาน นอกจาก นี้ท่อน้ำทิ้งควรทำ TRAP ด้วย

       การบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศ

เพื่อให้เครื่องปรับอากาศทำงานเต็มประสิทธิภาพและมีอายุการใช้งานยาวนานจึงควรหมั่น ดูแลบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ มีข้อแนะนำโดยทั่วไปเกี่ยวกับการบำรุงรักษาดังนี้
1. หมั่นตรวจสอบและทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศของแฟนคอยล์ยูนิตทุกสองสัปดาห์
2. แผงอีวาพอเรเตอร์คอยล์และคอนเด็นเซอร์คอยล์ควรทำความสะอาด 3-6 เดือนต่อครั้ง
3. มอเตอร์พัดลมทั้งแฟนคอยล์ยูนิตและคอนเด็นซิ่งยูนิตต้องมีการตรวจเช็คทุก 6 เดือน และทำการหล่อลื่น โดยการอัดจาระบีหรือหยอดน้ำมันอย่างสม่ำเสมอ
4. ตรวจดูถาดน้ำทิ้ง ทำความสะอาดเพื่อให้การไหลของน้ำทิ้งเป็นไปอย่างสมบูรณ์
5. ตรวจดูทิศทางลมเข้าออกของแฟนคอยล์ยูนิต ต้องไม่มีวัสดุปิดขวางทางลม
6. ตรวจสอบและซ่อมแซมฉนวนท่อน้ำยาที่ต่อระหว่างคอนเด็นซิ่งยูนิตและแฟนคอยล์ยูนิต
7. ตรวจสอบหน้าต่างและประตูว่ามีรูรั่วทำให้อากาศร้อนจากภายนอกเข้าสู่อาคารหรือไม่
8. ติดต่อช่างบริการที่เชื่อถือได้เพื่อตรวจสอบเครื่องอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง

       วิธีใช้เครื่องปรับอากาศอย่างประหยัด

การใช้ไฟฟ้าในบ้านเรือนหรืออาคารสำนักงานประมาณ 60% จะใช้กับระบบปรับอากาศ ฉะนั้น ถ้าใช้เครื่องปรับอากาศที่มีประสิทธิภาพต่ำหรือปล่อยให้มีความร้อนเกิดขึ้นภายในห้องโดยไม่ จำเป็นย่อมก่อให้ผู้ใช้เสียค่าไฟฟ้ามากกว่าความจำเป็น

การประหยัดไฟฟ้าสำหรับเครื่องปรับอากาศนั้นสามารถดำเนินการได้ด้วยวิธีการต่างๆทั้งวิธี การที่ไม่ต้องลงทุน และลงทุนเล็กน้อยซึ่งผลจากการดำเนินงานนั้นจะไม่ทำให้ความสะดวก สบายที่ได้รับจากการใช้เครื่องปรับอากาศต้องลดน้อยลงแต่จะลดค่าไฟฟ้าลงจากปกติ วิธีการ ประหยัดมีดังต่อไปนี้

        การเลือกเครื่องปรับอากาศที่เหมาะสม

1. เลือกเครื่องปรับอากาศที่มีประสิทธิภาพสูง คือ ให้ความเย็นมากแต่กินไฟน้อย โดยดูที่การ กินไฟฟ้าเป็นวัตต์ หรือแอมปโดยควรเลือกที่มีค่าน้อย หรือดูจากค่า COP หรือ EER (Energy Efficiency Ratio) ซึ่งค่ายิ่งสูงยิ่งดี
2. เลือกขนาดเครื่องปรับอากาศที่เหมาะสมกับห้อง
3. ควรเลือกอุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิหรือเทอร์โมสตัทที่มีความเที่ยงตรงสูง เช่น เทอร์โมสตัท ชนิดอิเล็กทรอนิกส์
4. เปลี่ยนเครื่องปรับอากาศใหม่ทดแทนเครื่องปรับอากาศเก่าที่มีประสิทธิภาพต่ำ เนื่องจาก ใช้งานมานาน การเปลี่ยนเครื่องใหม่ควรพิจารณาเครื่องที่มีประสิทธิภาพสูง

        การลดความร้อนจากภายนอก

การลดความร้อนจากภายนอกที่ผ่านเข้ายังบริเวณที่ปรับอากาศโดยผ่านผนัง, หลังคาและพื้น โดยพิจารณาเป็นส่วนๆดังนี้
1. การลดความร้อนผ่านผนัง
       1.1 ผนังกระจก เป็นสิ่งหนึ่งที่ความร้อนจากภายนอกสามารถแผ่เข้ามาได้มาก มีวิธีแก้ไขหลาย วิธีคือ
             1.1.1 ใช้เครื่องบังแดดภายในอาคาร
             - ใช้กันสาดในแนวตั้งและแนวนอน หรือการหลบแนวหน้าต่างเข้ามาภายใน
             - สำหรับกระจกที่หันไปทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ควรติดกันสาดในแนวนอน
             - ส่วนกระจกที่หันไปทางทิศเหนือและทิศใต้ ควรใช้กันสาดในแนวตั้ง
             - ปลูกต้นไม้บังแดดสำหรับกระจก ทางด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก
              1.1.2 ใช้ผ้าม่านหรือมู่ลี่สีอ่อนบังแดดภายในด้านหลังกระจกโดยเลือกใช้มู่ลี่ชนิดใบอยู่ในแนว นอนสำหรับกระจกทางทิศเหนือหรือทิศใต้ ส่วนกระจกทางทิศตะวันออกหรือทิศตะวันตกควร ใช้มู่ลี่ชนิดใบอยู๋ในแนวดิ่ง
               1.1.3 เลือกกระจกที่มีคุณสมบัติยอมให้แสงผ่านได้น้อย โดยกระจกที่หันไปทางทิศตะวันตก หรือตะวันออกควรใช้กระจกกรองแสงหรือแสงสะท้อน
               1.1.4 พยายามใช้กระจกเท่าที่จำเป็นโดยเฉพาะด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตกของอาคาร
1.2 ผนังอาคารที่เป็นปูน
               1.2.1 ทาสีด้านนอกด้วยสีขาวหรือสีอ่อนหรือใช้วัสดุผิวมัน เช่นกระเบื้องเคลือบเพื่อช่วยสะท้อน แสง
               1.2.2 ควรปลูกต้นไม้หรือสร้างที่บังแดดเพื่อให้ร่มเงาแก่ผนัง
               1.2.3 ผนังห้องปรับอากาศโดยเฉพาะด้านทิศตะวันออกหรือทิศตะวันตก ซึ่งไม่มีเงากำบังหรือ ห้องข้างเคียงเป็นห้องครัว หรือเป็นห้องที่มีความร้อนมากควรบุฉนวนกันความร้อน
        1.3 ผนังอาคารที่เป็นไม้หากมีช่องห่างของไม้มากควรตีผนังด้านในด้วยไม้อัดเพื่อกันการผ่าน ของ ความร้อนจากภายนอกเข้ามาในอาคาร
2. การลดความร้อนผ่านหน้าต่าง
       2.1 หน้าต่างควรมีเฉพาะทิศเหนือหรือทิศใต้ของอาคาร เพื่อลดการรับแสงแดดโดยตรง
       2.2 ต้องพยายามไม่ให้มีรอยรั่วตามขอบประตูหน้าต่างหรือบริเวณฝ้าเพดาน
       2.3 หน้าต่างส่วนที่เป็นกระจกให้ปรับปรุงตามข้อเสนอแนะของผนังกระจก
3. การลดความร้อนผ่านหลังคาและฝ้าเพดาน
       3.1 หลังคาที่เป็นสังกะสีหรือกระเบื้อง ควรตีฝ้าหรือติดตั้งวัสดุสะท้อนความร้อน หรือบุฉนวน กันความร้อน เพื่อช่วยลดความร้อนที่จะแผ่เข้ามาในอาคาร
       3.2 ถ้ามีช่องว่างระหว่างหลังคากับฝ้ามากควรเจาะช่องลมเพื่อระบายอากาศจะทำให้ประหยัด การปรับอากาศได้
4. การลดความร้อนผ่านพื้น หากเป็นพื้นไม้ควรอุดช่องระหว่างไม้ให้สนิท แอร์จะได้ไม่รั่ว ออกไป
5. การปรับปรุงในส่วนของรูปแบบอาคาร
       5.1 ออกแบบและกำหนดทิศทางของอาคารให้อยู่ในลักษณะที่ความร้อนจากภายนอกเข้ามา ในอาคารน้อยที่สุด
       5.2 การเลือกสีผนัง,เพดาน และเครื่องตกแต่งอาคารควรเป็นสีอ่อน เพื่อช่วยในการสะท้อน แสงทำให้ห้องสว่างและใช้ดวงไฟน้อยลง
       5.3 อาคารที่มีพื้นที่หรือห้องซึ่งไม่ได้ใช้งานประจำอยู่ทางทิศตะวันตกจะช่วยกันความร้อน ไม่ให้เข้ามาถึงห้องที่ใช้สอยประจำ ทำให้ประหยัดพลังงานไฟฟ้าในการปรับอุณหภูมิห้องที่ ใช้สอยประจำลงได้

       การลดความร้อนจากดวงไฟและอุปกรณ์ภายใน

1. พยายามใช้แสงธรรมชาติช่วยส่องสว่างภายในอาคารและควรจะปิดไฟที่ไม่จำเป็น
2. ภายในอาคารควรใช้สีอ่อน เพื่อช่วยในการสะท้อนแสงทำให้ใช้ดวงไฟน้อยลง
3. เลือกใช้หลอดไฟที่มีประสิทธิภาพการส่องสว่างสูง เช่น ใช้หลอดฟลูออเรสเซนต์แทน หลอดไฟแบบมีไส้
4. อุปกรณ์ที่ให้ความร้อนมากควรใช้นอกห้อง เช่น เตารีด เครื่องปิ้งขนมปัง หรือกาต้มน้ำ
5. ติดตั้งฝาครอบระบายอากาศ สำหรับเครื่องหุงต้มทุกชนิดถ้าจำเป็นต้องใช้ในห้องปรับอากาศ

       วิธีใช้เครื่องปรับอากาศอย่างถูกต้อง

1. ตั้งอุณหภูมิให้เหมาะสมไม่เย็นจัดจนเกินไป โดยปกติขณะนอนหลับควรตั้งที่ 78 F (26 C) แต่ถ้าทำงานตั้งไว้ประมาณ 75 F (24 C)
2.ควรติดตั้งเทอร์โมสตัทให้ใกล้กับคอยล์ของอีวาพอเรเตอร์ในตำแหน่งลมกลับเข้าเครื่อง เพื่อทำให้การตัดต่อเป็นไปอย่างถูกต้อง
3. เริ่มต้นเปิดเครื่องควรปรับระดับความเร็วพัดลมที่ความเร็วสูง (Hi) ก่อนเพราะจะทำให้เย็น เร็วพอเย็นได้ที่แล้วควรปรับลดไปเป็นลมต่ำ (Low)
4. ควรปิดประตู หน้าต่าง ให้มิดชิดอย่าเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ เพราะความร้อนจะเข้ามา
5. เปิดใช้เครื่องปรับอากาศเฉพาะส่วนและในเวลาที่จำเป็น ช่วงที่อากาศไม่ค่อยร้อนให้ปิดเครื่องปรับอากาศ แล้วเปิดหน้าต่างเพื่อให้ลมพัดถ่ายเท
6. หมั่นล้างทำความสะอาดคอยล์ รวมทั้งแผงกรองอากาศให้สะอาดอยู่เสมอ
7. อย่าให้มีสิ่งกีดขวางทางลมทั้งที่แฟนคอยล์ยูนิต(ชุดที่อยู่ในห้อง)

(http://www.withikarn.com)







บทที่ 3 วงจรไฟฟ้าและวงจรสารทำความเย็นเครื่องปรับอากาศ

 วงจรไฟฟ้าเครื่องปรับอากาศ


 

รูปวงจรไฟฟ้าเครื่องปรับอากาศ single phase(http://www.ubmthai.com/)


วงจรสารทำความเย็นเครื่องปรับอากาศ













รูป วงจรสารทำความเย็น (http://www.bloggang.com/


จุดที่ 1-2 เป็นกระบวนการในการอัดไอสารทำความเย็นให้มีความดันสูงขึ้นจาก Low pressure เป็น High pressure ซึ่งการเปลี่ยนแปลงสภาพของสารทำความเย็นจะเปลียนแปลงไปตามเส้นเอนโทรปีคงที่
จุดที่ 2-3 เป็นกระบวนการในการระบายความร้อนของสารทำความเย็นออก ไอสารทำความเย็น ที่มีความดันสูงและอุณหภูมิสูง จะระบายความร้อนออกที่ Condenser เมื่ออุณหภูมิของสารทำความเย็นลดลง จนกระทั่งมีอุณหภูมิเท่ากับอุณหภูมิควบแน่นที่ระดับความดันนั้นๆ (สภาวะไออิ่มตัว) การระบายความร้อนต่อจากนี้ก็จะทำให้ไอสารทำความเย็นควบแน่นเป็นสารทำความเย็นเหลว ที่จุด 3 สารทำความเย็นมีสถานะเป็นของเหลวอิ่มตัว
จุดที่ 3-4 เป็นกระบวนการในการลดความดันของสารทำความเย็นเหลวลงเพื่อให้สามารถเดือดระเหยที่ระดับอุณหภูมิต่ำได้ จุด 4 สถานะของสารทำความเย็นจะมีสถานะผสมกันระหว่างก๊าซและของเหลวทั้งนี้เนื่องจากการลดความดันจะทำให้สารทำความเย็นบางส่วนเดือดระเหยกลายเป็นก๊าซ ซึ่งความร้อนที่ใช้ในการระเหยของสารทำความเย็นนี้ ก็ได้มาจากสารทำความเย็นเหลวส่วนที่เหลืออยู่ มีผลให้อุณหภูมิของสารทำความเย็นลดลง
จุดที่ 4-1 เป็นกระบวนการรับความร้อนจากบริเวณทำความเย็น สารทำความเย็นเหลวที่ได้รับความร้อนจะเดือดระเหยกลายเป็นก๊าซ จนกระทั่งถึงทา

วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2559

บทที่ 2 การหาประสิทธิภาพ

การหาประสิทธิภาพ

           แอร์ส่วนใหญ่นิยมบอกขนาดเป็นบีทียู (BTU)   เป็นคำย่อมาจากภาษาอังกฤษว่า   British  thermal   units   ความหมายของ  1  บีทียู ก็คือ     ปริมาณความร้อนที่เพิ่มอุณหภูมิของน้ำ  1  ปอนด์ (0.45  กิโลกรัม)  ขึ้น  1  องศาฟาเรนไฮต์  (0.56 องศาเซลเซียส)   
      

 EER  ย่อมาจาก  energy  efficiency  rating  คือ อัตราส่วนของ บีทียูกับ กำลังวัตต์

                                 การหาค่าEER = บีทียู/ชั่วโมง ÷กำลังไฟฟ้า(วัตต์)


ตัวอย่าง  มีแอร์ขนาด 40,488.84 btu  และกำลังไฟฟ้าที่ ใช้มีค่า 3,534.60 w

          จากสูตร      EER = บีทียู/ชั่วโมง ÷กำลังไฟฟ้า(วัตต์)
                                     EER=  40,488.84btu  ÷  3,534.60 w
                                     EER= 11.45


ค่า COP หรือค่า Coefficient of Performance (COP)


            C.O.P มาจาก คำว่า COEFFICIENT OF PERFORMANCE แปลเป็นไทย ว่า "ประสิทธิภาพการทำงานของเครื่อง " ที่มาคือ COOLING CAPACITY(Kw) / POWER INPUT จะได้ C.O.P.
1 WATT = 3.412 บีทียู
              
             มีการหาโดยใช้สูตร
                                          COP = EER / 3.142

จากสูตร                      COP = EER / 3.142
                                           COP =11.45/3.142
                                           COP = 3.644

เพราะฉะนั้นเครื่องปรับอากาศตัวนี้จะมีค่า EER=11.45  และ COP= 3.644
ค่าEER ยิ่งมีค่ามากเท่าไรประสิทธิภาพของแอร์ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
 

วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2559

บทที่ 1 ส่วนประกอบและหลักการทำงานของเครื่องปรับอากาศ

       ก่อนที่เราจะเรียนรู้กลไกการทำงานของ เครื่องปรับอากาศ เราควรทราบก่อนว่า ส่วนประกอบที่สำคัญของระบบการทำการความเย็น (Refrigeration Cycle)




          1.คอมเพรสเซอร์ (Compressor) ของแอร์ แอร์บ้าน ทำหน้าที่ขับเคลื่อนสารทำ ความเย็นหรือน้ำยา (Refrigerant) ในระบบ โดยทำให้สารทำความเย็นมีอุณหภูมิ และความดันสูงขึ้น





        2.คอยล์ร้อน (Condenser) ทำหน้าที่ระบายความร้อนของสารทำความเย็น




        3.คอยล์เย็น (Evaporator) ทำหน้าที่ดูดซับความร้อนภายในห้องมาสู่สารทำความเย็น





        4.อุปกรณ์ลดความดัน (Throttling Device) ทำหน้าที่ลดความดันและอุณหภูมิของสาร ทำความเย็น โดยทั่วไปจะใช้เป็น แค็ปพิลลารี่ทิ้วบ์ (Capillary tube) หรือ เอ็กสแปนชั่นวาล์ว (Expansion Valve)





       ระบบการทำความเย็นที่เรากำลังกล่าวถึงคือระบบอัดไอ (Vapor-Compression Cycle) ซึ่งมีหลักการทำงานง่ายๆคือ การทำให้สารทำความเย็น (น้ำยา) ไหลวนไปตามระบบ โดยผ่านส่วนประกอบหลักทั้ง 4 อย่างต่อเนื่องเป็น วัฏจักรการทำความเย็น (Refrigeration Cycle) โดยมีกระบวนการดังนี้






          1) เริ่มต้นโดยคอมเพรสเซอร์ทำหน้าที่ดูดและอัดสารทำความเย็นเพื่อเพิ่มความดันและอุณหภูมิของสารทำความเย็น แล้วส่งต่อเข้าคอยล์ร้อน เมื่อคอมเพลสเซอร์ได้ทำการอัดสารทำความเย็นไปนั้นสถาณะของสารทำความเย็นจะมีสถาณะเป็นก๊าซที่มีแรงดันสูงและความอุณหภูมิสูง

          2) สารทำความเย็นจะไหลวนผ่านแผงคอยล์ร้อนโดยโดยมีทิศทางคือเข้าด้านบนแล้วออกด้านล่าง มีพัดลมเป่าเพื่อช่วยระบายความร้อนและเปลี่ยนสถาณะจากกาซเป็นของเหลว ทำให้สารทำความเย็นจะที่ออกจากคอยล์ร้อนมีอุณหภูมิลดลง (ความดันคงที่) จากนั้นจะถูกส่งต่อให้อุปกรณ์ลดความดัน

          3)สารทำความเย็นที่ไหลผ่านอุปกรณ์ลดความดันจะมีความดันและอุณหภูมิที่ต่ำมาก แล้วไหลเข้าสู่คอยล์เย็น (หรือที่นิยมเรียกกันว่า การฉีดน้ำยา)เมื่อสารทำความเย็นได้ผ่านการลดแรงดันแล้วสถานะของสารทำความเย็นจะเป็นก๊าซ ที่มีแรงดันที่ต่ำอุณหภูมิต่ำ


          4) จากนั้นสารทำความเย็นจะไหลวนผ่านแผงคอยล์เย็นโดยมีพัดลมเป่าเพื่อช่วยดูดซับความร้อนจากภายในห้อง เพื่อทำให้อุณหภูมิห้อง ลดลง ซึ่งทำให้น้ำยาที่ออกจากคอยล์เย็นมีอุณหภูมิที่สูงขึ้น (ความดันคงที่) จากนั้นจะถูกส่งกลับเข้าคอมเพรสเซอร์โดยสถานะของสารทำความเย็นจะเป็นของเหลวที่มีอุณหภูมิต่ำ แรงดันต่ำ เพื่อทำการหมุนเวียนน้ำยาต่อไป